เมื่อวันที่ 9 ส.ค.2564
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เปิดเผยว่า
ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ได้รับการยืนยันจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ว่าตรวจพบข่าวบิดเบือนเพิ่มเติม 1 กรณี คือ
กรณีธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) ลดค่าคุ้มครองเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท/ราย
เพราะสถาบันการเงินเสี่ยงล้มนั้น ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย
กระทรวงดิจิทัลฯ ตรวจสอบกับ ธปท. กระทรวงการคลัง ยืนยันว่าเป็นข่าวบิดเบือน
ซึ่งทาง ธปท.ได้ชี้แจงประเด็นดังกล่าวว่าข้อมูลมีความคลาดเคลื่อน
โดยข้อเท็จจริงมีดังนี้
1.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก
หรือ DPA
(https://www.dpa.or.th/articles/cat/about-dpa) เป็นผู้ประกาศปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝาก โดยปรับลงมาอยู่ที่
1 ล้านบาทต่อบัญชีต่อรายสถาบันการเงิน จากเดิม 5
ล้านบาทต่อบัญชีต่อรายสถาบันการเงิน
ซึ่งการปรับลดดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก
มีวัตถุประสงค์ 2 เรื่อง คือ การรักษาเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน และการคุ้มครองผู้ฝากเงินรายย่อย
ไม่ได้เป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19 แต่อย่างใด
2.ในปัจจุบันฐานะการดำเนินงานและเงินกองทุนธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งยังแข็งแกร่ง
มีการดำเนินงานด้วยความระมัดระวัง และมี ธปท.กำกับดูแลอย่างใกล้ชิด
ดังนั้น
ข้อมูลที่มีการโพสต์และแชร์ต่อขณะนี้ จึงเป็นข้อมูลบิดเบือน ขอความร่วมมือประชาชน
ไม่แชร์ ไม่ส่งต่อข่าวดังกล่าว และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจาก ธปท.
สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.bot.or.th
หรือโทร. 02-283-5353
บทสรุปของเรื่องนี้คือ
ผู้ประกาศปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากคือสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ไม่ใช่ใช่ธปท.
เพื่อรักษาเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน และการคุ้มครองผู้ฝากเงินรายย่อย
ไม่ได้เป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19 แต่อย่างใด
รองโฆษก
ตร.กล่าวเพิ่มเติมว่า การผลิตข่าวปลอม สร้างข่าวบิดเบือน ทำให้ประเทศชาติเสียหาย
ประชาชนสับสน เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
มาตรา 14(2), (5) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน
100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ผลิตข่าวปลอม และผู้เผยแพร่ทุกรายอย่างเด็ดขาด จริงจังและต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากประชาชนพบข้อมูลการกระทำผิด แจ้งเบาะแสข่าวผ่าน 5 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com, เฟซบุ๊ก ANTI-FAKE NEWS CENTER, ทวิตเตอร์ @AFNCThailand, ไลน์ @antifakenewscenter, ช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 และสายด่วน 1599 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
www.khaosod.co.th